“สิว” เกิดจากอะไร มีกี่ประเภท วิธีแก้ปัญหาสิวให้ตรงจุด!

ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ปัญหา “สิว” ก็ยังเป็นปัญหาผิวอันดับต้นๆสำหรับคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสิวบนหน้า สิวบนลำตัว หรือแม้กระทั่งตามจุดซ่อนเร้นต่างๆ ซึ่งปัญหาสิวทั้งหมดนี้ส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก 

ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการใช้สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น มีการใช้กล้องเยอะขึ้น ทำให้ยิ่งเห็นสิวชัดมากขึ้นไปอีก

 

หลายๆคนพยายามรักษาสิวทุกวิธีด้วยตัวเอง ทั้งทาครีม แต้มสิว บีบสิว กดสิว ล้างหน้าให้สะอาดก็แล้ว แต่ทำไมสิวถึงยังไม่หาย แถมบางครั้งสิวยังขึ้นเยอะกว่าเดิมไปอีก 

 

สาเหตุอาจจะเป็นเพราะวิธีการรักษาของเรานั้นไม่ตรงกับปัญหาสิวที่เราเป็นอยู่นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้จะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักประเภทของสิว เพื่อที่จะสามารถรู้วิธีการรักษาให้ทัน เพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของสิวกันค่ะ

สิวอุดตัน

สิวอุดตัน คืออะไร เกิดจากอะไร

สิวอุดตัน (Comedones) คือ สิวที่เกิดจากการที่ต่อมไขมันอุดตันใต้ผิวหนัง มาจากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปจนผิดปกติแล้วไปจับตัวรวมกับเซลล์ผิวที่มีความผิดปกติ หรือจับกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขน ทั้งละอองฝุ่น หรือเครื่องสำอาง จนทำให้เกิดการอุดตันเกิดขึ้น โดยสิวอุดตันจะไม่มีการอักเสบ แต่สิวก็ยังจะคงอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้รู้สึกระคายเคืองได้ เมื่อเราเป็นสิว

สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวไม่มีหัว ต่างกันยังไง?

สิวหัวขาว หรือ สิวอุดตันหัวปิด 

หลายคนจะชอบเข้าใจผิดระหว่างสิวประเภทนี้กับสิวอักเสบ แต่สิวหัวขาวจะมีลักษณะเม็ดเล็กกว่า และมีไขมันสีขาวเป็นไตแข็งด้านใน หรือบางครั้งอาจจะมีสีเดียวกับผิวได้เช่นกัน สิวประเภทนี้สามารถเกิดการอักเสบได้หากบีบ กด หรือแกะสิวไม่ถูกวิธี

สิวหัวดำ หรือ สิวอุดตันหัวเปิด 

สิวประเภทนี้จะสังเกตุได้ง่าย สามารถสังเกตก้อนสีดำตรงกลางตุ่ม พัฒนามาจากสิวหัวขาวที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นาน จนหัวสิวถูกเปิดออกไปสัมผัสกับอากาศ จะทำให้เกิดการออกซิเดชั่นกลายเป็นสีดำได้ สิวหัวดำจะต้องกดหรือบีบออกเท่านั้น แต่หากกดไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้อักเสบและหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป จะทำให้เกิดหลุมสิวได้

สิวไม่มีหัว หรือ สิวอุดตันใต้ผิวหนัง

สิวอุดตันไม่มีหัว เป็นสิวอุดตันที่อักเสบไม่สามารถมองเห็นได้ จับแล้วมีอาการเจ็บ ปวด สามารถเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ถูกกระตุ้นมากในช่วงวัยรุ่นและตอนใกล้มีประจำเดือน ทำให้ต่อมไขมันหลั่งออกมามากกว่าปกติจนเกิดสิว

สิวอุดตัน เกิดขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง

โดยปกติแล้วสิวอุดตันสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะเกิดสิวอุดตันที่แก้ม สิวอุดตันที่กรอบหน้า รวมไปถึงบริเวณอื่นๆ เช่น คาง หน้าผาก หลัง เป็นต้น

รักษาสิวอุดตันยังไง ใช้อะไรดี

การรักษาสิวอุดตันสามารถทำได้หลักๆ 4 วิธี ดังนี้

กดสิว ー ข้อดีคือสามารถทำให้สิวหลุดออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่หากกดสิวออกไม่หมดหรือกดไม่ถูกวิธี จะทำให้สิวเกิดการอักเสบเพิ่มขึ้นได้แถมเสี่ยงเกิดรอยสิวมากขึ้นไปอีก จึงแนะนำให้พบผู้เชี่ยวชาญกดสิวให้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นดีกว่าค่ะ

ยาทา ーยาทาสิว หรือยาแต้มสิว สารประกอบส่วนใหญ่จะมีหน้าที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณสิวหรือลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบนผิวทำให้สิวยุบลง 

ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชกรก่อนที่จะเลือกซื้อยาแต่ละชนิดมาใช้ เพราะหากเลือกซื้อยาที่ไม่เหมาะสมกับปัญหาสิวเรา อาจจะไม่เห็นผลหรือทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้

ทานยา ー เหมาะสำหรับผู้ที่มีทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบจำนวนมาก เพราะการทานยารักษาสิวอุดตัน จะช่วยรักษาผู้ที่เป็นสิวอักเสบร่วมด้วย ตัวยาจะทำหน้าที่ปรับฮอร์โมนที่กระตุ้นการเกิดสิวหรือการผลิตน้ำมันให้ลดลงและสมดุลขึ้น ทำให้สิวลดลงได้ แต่การซื้อยามาทานนั้น ต้องระวังผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการจ่ายยาให้จะดีที่สุด

ฉีดสิวจะใช้ยาฉีดเข้าไปในผิวหนังบริเวณที่เป็นสิว ทำให้สิวบริเวณที่อักเสบยุบตัวลง โดยใช้วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตันขนาดใหญ่ มีสิวซีสต์ สิวหัวช้าง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดสิวซ้ำ ควรกดหัวสิวออกมาก่อน และดูแลโดยการทายารักษาสิวพร้อมทานยาร่วมด้วย โดยวิธีดังกล่าวจะต้องผ่านแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น

สิวผด

สิวผด คืออะไร เกิดจากอะไร

สิวผด เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำให้รูขุมขนเกิดการระคายเคือง อาจพบอาการคัน แสบ บวมแดงร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักพบบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว แก้ม และกรอบหน้า สาเหตุการเกิดสิวผดส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศร้อนจัด, สิ่งสกปรกตามหน้าม้า, การแพ้แชมพูสระผม, การล้างหน้าไม่สะอาด เป็นต้น

 

สิวผด vs สิวอุดตัน ต่างกันยังไง

สิวผดและสิวอุดตันต่างมีสาเหตุมาจากไขมันส่วนเกิดอุดตันใต้ผิวหนังเหมือนกัน แต่สิวผด มักเกิดจากเชื้อราไปทำปฏิกิริยากับต่อมไขมัน (ซึ่งมีอยู่หนาแน่นบริเวณหน้าผาก) และไม่สามารถกดออกได้ แต่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ หรือหากต้องมีการใช้ยา ครีมทา จะใช้เป็นกลุ่มลดเชื้อราที่มีการทำงานแตกต่างจากกลุ่มรักษาสิวอุดตัน

 

วิธีรักษา “สิวผด” 

การรักษาสิวผดสามารถทำได้ทั้งการทานยา ทายา ที่ผ่านการจ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดสิวผดได้โดยปรับการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ ーอย่างน้อย 5-8 ชั่วโมง
  2. ดื่มน้ำมาก ๆ ー ค่อยๆจิบน้ำทีละนิด จิบทั้งวัน วันละ 1-2 ลิตร
  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที (ใช้ทิชชู่สำหรับซับหน้าวับเหงื่อหลังออกกำลังกายเผื่อป้องกันการเกิดสิว)
  4. หลีกเลี่ยงอาหารที่พบว่ามักจะทำให้เกิดสิว ー ลดของทอด ของมัน ของหวาน ช็อคโกแลต 
  5. งดการสัมผัสใบหน้า ー หรือหากจำเป็นต้องสัมผัสหน้า ควรใช้กระดาษทิชชู่สำหรับเช็ดหน้าแทน
  6. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่อ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)

สิวเสี้ยน

สิวเสี้ยน คืออะไร เกิดจากอะไร

สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) จะมีลักษณะคล้ายกับสิวหัวดำ แต่จะเม็ดเล็กกว่า ซึ่งสิวเสี้ยนนั้นเกิดจากความผิดปกติของรูขุมขน ที่มีขนเกิดขึ้นมากกว่าปกติในรูขุมขนเดียว

สามารถขึ้นได้ตามรูขุมขนบนใบหน้าและทั่วร่างกาย 

 

โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนได้นั้นมีหลายอย่าง เช่น ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ, ความผิดปกติของฮอร์โมน,, รวมไปถึงการทานของมัน ของหวาน ของทอด, การล้างหน้าไม่สะอาดทำให้สิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน เป็นต้น



สิวเสี้ยน เกิดบริเวณไหนได้บ้าง?

สิวเสี้ยน สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกบริเวณที่มีรูขุมขน โดยส่วนใหญ่คนมักจะมีสิวเสี้ยนที่จมูก หน้าแก้ม หน้าผาก และบริเวณอื่นๆเช่น หน้าผาก ใต้คาง หลัง และหน้าอกเป็นต้น

 

วิธีรักษาสิวเสี้ยน กำจัดสิวเสี้ยนยังไงดี? 

  • การถอนออกด้วยแหนบ ใช้แหนบปลายแหลม เพื่อเข้าถึงรูขุมขนได้ง่าย แต่ควรระวังปลายแหนบอาจทิ่มผิวจนเป็นแผล เสี่ยงผิวอักเสบได้
  • ดูดสิวเสี้ยน เป็นวิธีที่กำจัดสิวเสี้ยนได้อย่างอ่อนโยนไม่ทำร้ายผิว สามารถดูดสิวเสี้ยน สิวหัวดำ รวมถึงคราบไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนได้ แนะนำให้ใช้เครื่องที่ได้มาตรฐานและทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรซื้อเครื่องดูดสิวที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้เอง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นค่ะ 
  • ลอกสิวเสี้ยน โดยการใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป เป็นวิธีที่ง่าย แต่มีข้อเสียคือเสี่ยงผิวแห้ง ลอก หรือหากสิวถูกลอกออกไม่หมด ทำให้เกิดการอุดตันหรืออักเสบได้
  • การสครับผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวเสี้ยนบนผิวหลุดออกได้ง่าย ไม่ควรสครับผิวบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบางได้ค่ะ
  • เซรั่มหรือครีมลดสิวเสี้ยน หรือยาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของ BHA, LHA, Salicylic, Glycolic acid แต่ไม่ควรใช้หลายๆตัวพร้อมกัน เพราะอาจทำร้ายผิวได้ แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว
  • เลเซอร์กำจัดขน หรือทำ IPL จะเน้นเป้าหมายไปที่รูขุมขนโดยเฉพาะ ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นขนเพราะสามารถกำจัดถึงรากขนที่เป็นต้นตอของการเกิดสิวเสี้ยน แนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อพิจารณาการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ IPL ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสภาพปัญหาสิวเสี้ยน

 

วิธีกำจัดสิวเสี้ยนนั้นมีหลากหลายวิธี ทั้งวิธีที่สามารถทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน หรือการทำโดยเครื่องมือแพทย์ แต่หากกังวลว่าจะกำจัดไม่ถูกวิธีทำให้เกิดสิวเยอะกว่าเดิม แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์สภาพผิวได้อย่างตรงจุด สิวหายได้อย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย ไม่กลับมาเกิดซ้ำค่ะ

สิวอักเสบ สิวหัวช้าง

สิวอักเสบ คืออะไร เกิดจากอะไร?

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C.acne) หรือ แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) ที่มีการเจริญเติบโตมากขึ้นบนตุ่มสิว ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมา มักเกิดจากสิวอุดตันหัวขาวที่ถูกเชื้อแบคทีเรียกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงใต้ผิวหนัง  เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นสิวแดงขนาดเล็กถึงปานกลาง รู้สึกเจ็บเมื่อแตะโดนสิว 

หากสิวอักเสบมีขนาดใหญ่และมีหนองมากขึ้นจะเรียกสิวอักเสบบชนิดนี้ว่า “สิวหัวหนอง” 

หากแบคทีเรียลุกลามไปถึงผิวชั้นลึก ทำให้เกิดสิวเม็ดใหญ่ สิวอักเสบไม่มีหัว และมีลักษณะบวมแดงอย่างชัดเจน เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บปวดมาก สิวอักเสบชนิดนี้จะเรียกว่า “สิวหัวช้าง” สามารถรักษาแบบเร่งด่วนได้ด้วยวิธีการฉีดยาสิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อลดการอักเสบและให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น ไม่ควรกดสิวอักเสบหรือบีบสิวด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้นและทิ้งรอยสิวบนใบหน้าได้ง่าย 

วิธีลดสิวอักเสบ

  1. รักษาสิวด้วยยาทา 

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ Propionibacterium acnes (P. acnes)  ที่เป็นสาเหตุหลักของสิวอักเสบ

ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ช่วยลดการอุดตันและลดการอักเสบของสิว แต่ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงเนื่องจากอาจจะทำให้มีอาการผิวหน้าแดง, แสบ หรือลอกเป็นขุยได้ 

ทั้งนี้ก การเลือกใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นกับลักษณะของสิว โดยพิจารณาจากดุลยพินิจของแพทย์และเภสัชกร

2. รักษาสิวด้วยยาทาน

  • าปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยังสามารถช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มและเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย
  • ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ที่ช่วยยับบั้งแบคทีเรีย, ลดการทำงานของต่อมไขมัน และเพิ่มการผลัดเซลล์ผิวใหม่ แต่จะออกฤทธิ์รุนแรงและอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เหมาะสำหรับกรณีที่เป็นสิวจำนวนมากหรือเป็นสิวอักเสบรุนแรง ยาชนิดนี้ต้องอยู่ภายในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • าที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนให้ร่างกายไม่ผลิตไขมันออกมามากกว่าปกติ 

โดยก่อนจะทานยาแต่ละชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ 

3, รักษาสิวด้วยการฉายแสงและเครื่องมือทางการแพทย์

การฆ่าเชื้อสิวด้วยแสง LED เป็นการฉายแสงสีฟ้าที่ความยาวคลื่น  470 นาโนเมตร ช่วยลดการอักเสบ และฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อนให้เกิดสิว รวมไปถึงดารช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันไม่ให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปจนเกิดสิว ลดสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบได้

Intense Pulsed Light (IPL) เป็นการใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูง โดยมีเป้าหมายที่ผิวชั้นใน แต่ไม่ทำให้เกิดการแสบร้อนจนเกินไปที่ผิว ช่วยฆ่าเชื้อสิวด้วยความยาวคลื่นเฉพาะตัว และช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินจาก่อมไขมันได้อีกด้วย IPL ยังช่วยในเรื่องของการลดเรือยจุดด่างดำบนผิวหน้าได้อีกด้วย

Alpha Hydroxy acid (AHA) หรือกรดผลไม้ คุณสมบัติช่วยผลัดสิวอุดตันที่อยู่ใต้เซลล์ผิวที่ตายแล้วออก และยังช่วยขจัดสิวสปรกที่อยู่ในรูขุมขนที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้อีกด้วย

 

สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด ทำยังไงดี?
หากเกิดอาการสิวอักเสบขึ้นไม่หยุดหรือสิวอักเสบเรื้อรัง สิวมีการแพร่กระจายไปทั่วใบหน้า แนะนำให้พบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการวินิจจัยปัญหาและรักษาได้อย่างเหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะทำให้ผิวถูกสิวทำร้าย ทิ้งรอยดำ รอยแดง หลุ่มสิวที่รักษาได้ยากในอนาคตได้

 

วิธีแก้ “สิวที่คาง” สิวฮอร์โมนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
สิวอักเสบที่คาง ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) เพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ ทำให้ต่อมไขมันถูกกระตุ้น ให้ผลิตซีบัม (Sebum) ที่เป็นส่วนประกอบของไขมันออกมาเป็นจำนวนมาก และทำให้ปริมาณเชื้อแบคทีเรียมากขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้ระดับฮอร์โมนภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ได้แก่

  • ช่วงประจำเดือน 
  • ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome : PCOS)
  • ภาวะภาวะแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism)
  • ภาวะความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ช่วงการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุร่วมอื่นๆด้วย เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่ ซีสที่รังไข่  เป็นต้น

การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยหัตถการและเครื่องมือแพทย์

  • การใช้สารเคมีลอกผิว (Chemical Peel) ผลักเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก
  • การทำเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสง (Phototherapy and Laser) ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหน้า
  • การฉีดสิว (Cortisone Injections) ให้ผลการรักษาที่ดี แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และใช้ยาทาอื่นๆร่วมด้วย

สิวที่หลัง

“สิวขึ้นหลัง” ต้นเหตุของความไม่มั่นใจ สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่

สิวที่หลัง (Back acne / Bacne) เกิดจากแบคทีเรียและความมันส่วนเกินที่ก่อให้เกิดการอุดตันบนผิวไม่ต่างจากสิวบนใบหน้า โดยสิวที่หลังสามารถเกิดได้ทั้งจากเชื้อแบคทีเรีย ฮอร์โมน ความมันที่อุดตันในรูขุมขน บางครั้งอาจมีอาการบวม แดง ระคายเคืองได้อีกด้วย ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงอาจจะไปถึงสิวขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้างได้

 

วิธีรักษาสิวที่หลัง

  1. ยาทาหรือครีมทา กลุ่ม อนุพันธ์วิตามินเอ, เบนแซค
  2. การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกและยังมีส่วนช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกบริเวณรูขุมขนเพื่อป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย
  3. ฉีดยา สำหรับคนที่มีสิวเม็ดขนาดใหญ่ที่หลัง แต่มีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น การแพ้ยาหรือการอักเสบ จึงควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินความเหมาะสมและคำแนะนำวิธีการรักษาให้ถูกวิธี
  4. เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังมีเหงื่อออกหรือสิ่งสกปรก
  5. ทำความสะอาดผิวที่หลังด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น สบู่ asepso ที่มีสารแทนนิน (Tannin) และสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแซนโธน (Xanthone) ที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรียและยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของสิวและโรคผิวหนัง
  6. เลเซอร์รักษาสิวที่หลังิโดยเลเซอร์จะทำหน้าที่แทนเข็มที่เจาะเข้าไปในรูขุมขนบนแผ่นหลัง ทำให้เห็นผลไว ไม่เจ็บ ทำให้ลดความเสี่ยงการอักเสบของผิวมากกว่าการใช้เข็ม หลังจากทำเลเซอร์ควรปฏิบัติแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง เพื่อป้องกันผิวถูกทำร้ายหลังเลเซอร์อย่างเคร่งครัด
  7. ฉีดเมโสรักษาสิวที่หลัง (Mesotheraphy) เป็นการฉีดสารสกัดจากพืชและวิตามินต่างๆ เข้าสู่ผิวหนัง เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดผด ผื่น ลดการทำงานของต่อมไขมัน และทำให้ผิวหนังดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหน้าก่อนที่จะตัดสินใจฉีดเมโสที่หลังหรือวิตามินผิวค่ะ

สรุป

จะเห็นได้ว่า สิวแต่ละชนิด มีสาเหตุที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น สิวจากความมันส่วนเกิน สิวจากแบคทีเรีย สิวจากฮอร์โมน หรือปัจจัยด้านอื่นๆที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ โดยวิธีการรักษาส่วนใหญ่ มีการใช้การใช้เครื่องมือแพทย์ และยาร่วมด้วย ซึ่งยาแต่ละจะชนิดก็จะทำงานไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนที่กำลังรักษาสิวด้วยตัวเองอยู่ แล้วยังไม่หายขาดสักที บางครั้งอาจจะมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากไม่ได้รับการตรวจและวินิจฉัยปัญหาผิวอย่างถูกต้องจากแพทย์ผิวหนัง ปัญหาสิวที่กำลังเป็นอยู่ก็อาจจะยังไม่ได้รับการแก้ไขไปตลอดได้ เพราะฉะนั้นหากเกิดปัญหา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

  1. https://www.healthline.com/health/blackhead-on-lip#_noHeaderPrefixedContent
  2. https://www.medicalnewstoday.com/articles/321815#takeaway 
  3. https://www.phyathai.com/th/article/3846-บำบัดผิวด้วยการฉายแสง
  4. https://www.aesthetipedia.com/treatments/ipl-for-acne/
  5. https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/alpha-hydroxy-acid