การเกิดสิว 3 ระยะ มีการรักษา และใช้ยา แตกต่างกัน

อยากรักษาสิวให้หายขาด และไม่เป็นซ้ำ ต้องรู้สาเหตุ การเกิดสิว 3 ระยะ ก่อนนะครับ เมื่อเราทราบว่า เราเป็นสิวแบบไหน ระยะไหน จะได้ดูแลผิว และเลือกใช้ ยา ครีม ผลิตภัณฑ์ ได้อย่างถูกต้อง วันนี้หมอเนาว์ มีคำอธิบายและคำแนะนำ ในการรักษาสิวแต่ละระยะ มาฝากครับ

การเกิดสิว แบ่งออกง่ายๆ เป็น 3 ระยะ นะครับ

ระยะที่ 1.สิวอุดตัน คือหัวสิว ที่ฝังอยู่ใต้ผิวของเรา

สิวอุดตันมี 2 แบบสังเกตง่ายๆ คืออุดตันแบบหัวปิด (ด้านบนมักเป็นหัวสีขาวๆ) และ อุดตันแบบหัวเปิด (ด้านบนเป็นสีดำ) แบบหัวปิด จะรักษายากกว่า ถ้ากดออกแบบไม่ถูกวิธี ผิวหนังจะบาดเจ็บมาก และอาจทิ้งรอยแผลไว้บนผิวได้นะครับ

TIP 1 : สิวระยะนี้ รักษาด้วย การยาทาละลายหัวสิว ( BP / Benzoyl Peroxide ) ร่วมกับ การกดสิวด้วยขั้นตอนที่สะอาดและถูกต้อง

การใช้ทายาละลายหัวสิว ก่อนไปกดสิว จะทำให้หัวสิวหลวม กดออกง่าย จึงไม่ต้องใช้แรงกดมาก ช่วยลดโอกาสการเกิดรอยช้ำ หลังการกดสิว ผิวหนังจึงบาดเจ็บน้อย และไม่กระตุ้นการอักเสบของผิวในบริเวณใกล้เคียง

TIP 2 : ยาทาละลายหัวสิว มีหลายความเข้มข้น เช่น 2.5% / 5% / 10% ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน ถ้าผิวบาง แพ้ง่าย ควรเริ่มใช้จาก 2.5% นะครับ ทายาบางๆละทิ้งไว้ 10 นาที หากไม่มีอาการแสบผิวหรือระคายเคือง จึงค่อยๆเพิ่มเวลาเวลาครั้งละ 10 นาที โดยทิ้งไว้ได้นานสูงสุดถึง 60 นาที

การทายาทาละลายหัวสิว ไม่ต้องใช้ยาเยอะนะครับ เพราะยาส่วนเกิน จะทำให้เกิดการระคายเคือง ทาบางๆแล้วทิ้งไว้ให้นาน จะมีประโยชน์มากกว่าครับ

TIP 3 : ทายาละลายหัวสิวแล้วแสบหน้า ผิวแสบแดง เหมือนผิวอักเสบ อาจเกิดจากผิวหน้าแห้งมาก จนเกิดรอยแตกเล็กๆบนผิว จึงรู้สึกแสบผิวตอนทายา ซึ่งส่วนมากเกิดจากการใช้ปริมาณยา มากเกินไป

แก้ไขโดยหยุดใช้ยาทาละลายหัวสิว 2-3 วัน ใช้ครีมบำรุงที่สูตรน้ำ เติมความชุ่มชื้น จากนั้นจึงเริ่มใช้ยาอีกครั้ง โดยใช้ยาน้อยๆ แตะ 3-4 จุดบนหน้า ใช้นิ้วแตะน้ำเปล่า แล้วลูบวนบนผิวหน้าเพื่อกระจายยา เป็นเคล็ดลับที่จะทำให้ทายาได้ทั่วบริเวณ โดยไม่ต้องใช้ยาเยอะ

TIP 4 : หากเราทิ้งสิวอุดตันไว้นานๆ โดยไม่ทายา หรือรักษาให้หาย เมื่อมีเชื้อโรค ตกลง ไปในจุดที่มีการอุดตัน ก็จะกลายเป็นสิวขั้นที่ 2 ครับ

การเเปลี่ยนจากสิวอุดตัน กลายเป็นสิวอักเสบ ส่วนหนึ่งมาจากการกดสิว บีบสิว แกะสิว โดยไม่ถูกวิธีและไม่สะอาดเพียงพอ เล็บของเราเป็นที่สะสมของเชื้อโรค การใช้เล็บกดผิวหนัง จึงเป็นการนำเชื้อโรคลงไปใต้ผิวโดยตรง และการกดบีบ ยังกระตุ้นขบวนการอักเสบใต้ผิวอีกด้วย

ระยะที่ 2.สิวอักเสบ คือ สิวมีการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อราใต้ผิวหนัง

เกิดจากเชื้อโรคจากภายนอก หรือเชื้อโรคในผิวหนังของเรา ติดเชื้อลงไปยังจุดที่มีการอุดตัน วิธีสังเกต ว่าเม็ดไหนเป็นสิวอักเสบ ทำได้ง่ายมากคือ สิวอักเสบ จะมีลักษณะบวม แดง กดแล้วเจ็บๆ นั่นเอง ถ้าเรายังปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่ได้รับการรักษา ก็จะมีหัวหนองสีขาวๆ ปรากฏอยู่ด้านบน หรือหนองอาจจะฝังอยู่ใต้ผิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นเป็นสีม่วงคล้ำๆ กดแล้วเจ็บๆ นั่นเองครับ

TIP 5 : สิวระยะนี้ รักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ ซึ่งมีทั้งแบบทา เช่น Clinda Lotion / Metronidazole Gel เป็นต้น

การรักษาเบื้องต้นด้วยการทายา หมอคิดว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม คนไข้สามารถทดลองรักษาด้วยตนเองได้ (ในกรณีที่ไม่รุนแรงมาก) แต่ถ้าทายาอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ดีขึ้น ผลกการักษาไม่เวิร์ค อย่าปล่อยทิ้งไว้จนลุกลามนะครับ การรักษารอยสิวและแผลเป็น มักจะยากกว่า เจ็บกว่า (และแพงกว่า) การรักษาสิวครับ

TIPS 6 : ถ้ายาฆ่าเชื้อแบบทาเอาไม่อยู่ ก็มีแบบกินด้วยนะครับ ซึ่งการกระจายตัวของยาเข้าสู่ผิวหนังจะกว้างกว่าและครอบคลุมมากกว่า เช่น Doxycycline เป็นต้น แต่..แต่..แต่ !! อย่าซื้อยากินเองนะครับ ยากินฆ่าเชื้อ ต้องเลือกตามเชื้อโรคที่สงสัย ถ้ารักษาผิดทาง เชื้อดื้อยา งานจะเข้าและรักษายาก มาปรึกษาหมอดีกว่าครับ

การเลือกใช้ยากิน ร่วมกับยาทา ร่วมกับทรีทเมนต์รักษาสิวต่างๆ ต้องเลือกตามสภาพผิวที่เป็น เพราะการรักษาแต่ละอย่าง มีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน แพทย์จะอธิบายในจุดนี้ได้ดีที่สุดครับ

TIP 7 : การทายาสิว ควรใช้ให้ครบทุกระยะ ตามสภาพผิวที่เป็นนะครับ การทายาหรือ แต้มฆ่าเชื้อเพียงอย่างเดียว โดยไม่ใช้ยาอื่นร่วมด้วย ในช่วงแรกสิวจะยุบ จากนั้นจะไม่ค่อยได้ผล ก็เพราะเชื้อเริ่มปรับตัวดื้อยานั่นเองครับ

เชื้อโรคสามารถปรับตัวสู้กับยาฆ่าเชื้อได้ หรือเราเรียกว่า เชื้อดื้อยา นั่นเองครับ ทำให้ช่วงแรกสิวจะยุบดี แต่เมื่อใช้ต่อไปอีกสักระยะ จะพบว่าแต้มยาฆ่าเชื้อแล้ว สิวไม่ค่อยยุบ ดังนั้นการใช้ยาทารักษาสิว ในเคสที่เป็นสิวค่อนข้างมาก ไม่ควรใช้ยาเดี่ยวในการรักษานะครับ

TIP 8 : หากเราปล่อยให้สิวอักเสบ เป็นนานๆ โดยไม่รักษา ก็จะเกิดหนองขึ้นด้านบน หรือเป็นหนองสะสมอยู่ใต้ผิว เมื่อถึงระยะนี้แล้ว มักจะทิ้ง ร่องรอย เอาไว้บนผิวของเรา ซึ่งก็คือระยะที่ 3 นั่นเองครับ

สาเหตุสำคัญของการอักเสบ นอกจากเชื้อโรคแล้ว ก็คือการแกะ การบีบ ของเรานั่นเองครับ ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะไม่ทำให้สิวอักเสบ และลุกลาม ก็คือ การหยุดแกะ หยุดบีบ นั่นเองครับ

ระยะที่ 3.รอยดำสิว และรอยหลุมสิว

มีสาเหตุหลักๆ คือ การติดเชื้อ และการบาดเจ็บของผิว ซึ่งส่วนมากเกิดจากการแกะ กด บีบ แบบไม่ถูกวิธีนั่นเอง

รอยดำจากสิว ภาษาหมอเรียกว่า PIH สามารถหายเองได้ แต่ใช้เวลาหลายเดือน รอยจะจางลงตามรอบการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ

TIP 9 : วิธีที่ช่วยรักษา ให้รอยดำสิวจางลงเร็วขึ้น มีหลายวิธีนะครับ เช่น การรักษาด้วยแสงบำบัดความเข้มสูง (IPL) , เลเซอร์กลุ่ม Q Switch หรือ Pico Laser รวมทั้งการทำทรีทเมนต์บำรุงผิว และใช้ยาทา

การทายา และหาครีมลบรอยดำ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด แต่อย่าลืมเลือกที่เป็นสูตรน้ำ นะครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่

รอยหลุมสิว ผิวไม่เรียบ (Pitted Scar) เกิดจากโครงสร้างของชั้นผิวถูกทำลายลงไป จากการติดเชื้อและอักเสบ และมีผังผืดยึดเกาะอยู่ด้านล่าง ทำให้ผิวไม่สามารถสร้างเนื้อขึ้นมาเติมเต็มได้

TIP 10 : การรักษาหลุมสิว มีหลากหลายวิธี ทั้งการใช้เลเซอร์ , การใช้คลื่น RF , การใช้เข็มตัดผังผืดใต้ผิว ( Subcision )

แต่ละวิธี มีข้อดี ข้อจำกัด และการดูแลรักษาผิวหลังทำ ที่แตกต่างกัน จะเลือกใช้วิธีไหน ควรปรึกษาคุณหมอให้เหมาะกับรอยแผลและหลุมที่เป็นนะครับ

สิวเป็นปัญหากวนใจ ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคนก็ยังคงเป็นสิวอยู่ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการดูแลผิวที่ไม่ถูกต้อง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ที่ยังไม่เหมาะสม

โอกาสหน้าหมอจะแนะนำเคล็ดลับการดูแลผิวที่เป็นสิว จากประสบการณ์ตรงของหมอเอง ติดตามบทความดีๆกับหมอเนาว์ MED DESIGN CLINIC ในครั้งถัดไปนะครับ สวัสดีครับ